สังคม

กลไกราคา



 กลไกราคา
       ราคาสินค้า  คือ มูลค่าของสินค้าและบริการที่ผู้ประกอบการทำการผลิตได้และนำมาจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค เช่น  นาย ก. ผลิตปากกาออกขายให้แก่นักเรียนในราคาด้ามละ 5 บาท  เป็นต้น   ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม  หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสม  ซึ่งการผลิตการบริโภคส่วนใหญ่เป็นเรื่องของภาคเอกชน  โดยผ่านกลไกของราคา นั้น ราคาสินค้าและบริการจะทำหน้าที่ 3  ประการ คือ
       กำหนดมูลค่าของสินค้า   ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ใช้เงินเป็นสื่อกลาง  ราคาจะทำหน้าที่กำหนดมูลค่า  เพื่อให้ผู้ซื้อตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าในมูลค่าที่คุ้มหรือไม่คุ้มกับเงินที่เขาจะต้องเสียไป  ราคาสินค้าบางแห่งก็กำหนดไว้แน่นอนตายตัว  แต่บางแห่งก็ตั้งไว้เผื่อต่อ  เพื่อให้ผู้ซื้อต่อรองราคาได้
       กำหนดปริมาณสินค้า  ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันนั้นถ้าสินค้ามีราคาถูก  ผู้ซื้อจะซื้อปริมาณมากขึ้นส่วนผู้ขายจะเสนอขายในปริมาณน้อยลง  แต่ถ้าสินค้ามีราคาแพงผู้ซื้อจะซื้อปริมาณน้อยลงส่วนผู้ขายจะขายในปริมาณมากขึ้น  ราคาจึงเป็นตัวกำหนดปริมาณสินค้าที่จะซื้อขายกัน
        กำหนดปริมาณการผลิตของผู้ประกอบการ   ในระบบเศรษฐกิจแบบผสม  ซึ่งการผลิตส่วนใหญ่เป็นเรื่องของเอกชนนั้น  จะมีปัญหาว่าผู้ผลิตควรจะผลิตในปริมาณสักเท่าใดจึงจะพอดีกับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้เขาได้กำไรสูงสุดตามที่ต้องการ  โดยสังเกตความต้องการซื้อ (อุปสงค์) และความต้องการขาย (อุปทาน) ของสินค้าที่เราทำการผลิตในระดับราคาต่างๆ กันเพื่อหา  ดุลยภาพ  ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะทำการซื้อขายกันในปริมาณและราคาที่ตรงกัน  ปริมาณที่มีการซื้อขาย    จุดดุลยภาพ เรียกว่า ปริมาณดุลยภาพ  และผู้ซื้อมีความต้องการซื้อ  ส่วนราคาที่ดุลยภาพ เรียกว่า ราคาดุลยภาพ  อันเป็นราคาที่ผู้ผลิตควรพิจารณาในการตั้งราคาขาย
        กลไกราคา (price mechanism)  หมายถึง  ตัวกำหนดการจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจทีมีปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคา คือ อุปสงค์ (demand)  และอุปทาน (supply)
        อุปสงค์ (Demand)   คือ ปริมาณความต้องการซิ้อสินค้าและบริการของผู้ซื้อในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง  ณ  ระดับราคาต่างๆ กัน ความต้องการซื้อจะแตกต่างจากความต้องการทั่วไป (want)  แต่จะต้องรวมอำนาจซื้อ (purchasing power)  คือ  เต็มใจและมีเงินเพียงพอที่จะจ่ายซื้อสินค้านั้นด้วย  อย่างไรก็ตามปริมาณความต้องการซื้อนี้จะเปลี่ยนแปลงเมื่อมีปัจจัยกำหนดอุปสงค์ตัวอื่นๆ เปลี่ยนแปลงด้วย เช่น รายได้ของผู้ซื้อ  รสนิยม  ราคาสินค้าชนิดที่ใช้ทดแทนกันได้ เช่น เนื้อหมูกับเนื้อไก่ เป็นต้น
       อุปทาน (supply)  คือ ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้าและบริการของผู้ขายในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง  ณ  ระดับราคาต่างๆ กันโดยผู้ขายเต็มใจจะขาย  กล่าวคือ ถ้าราคาต่ำปริมาณที่เสนอขายก็จะลดต่ำลงด้วย  และในทางตรงกันข้าม  หากระดับราคาสูงขึ้นก็จะมีปริมาณเสนอขายเพิ่มขึ้น  ซึ่งเป็นไปตาม  กฎของอุปทาน (Law of Supply)   ปัจจัยที่ทำให้อุปทานเปลี่ยนแปลง เช่น การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในการผลิต  ราคาของปัจจัยที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ  การเปลี่ยนแปลงฤดูกาล  การคาดคะเนราคาสินค้าและบริการของผู้ขาย
        ตลาด    ตลาดในความหมายทางเศรษฐศาสตร์  จะกว้างกว่าความหมายทั่วๆ ไปที่เป็นสถานที่ที่มีผู้ขายจำนวนมากนำสินค้ามาวางขาย  แต่ตลาดในทางเศรษฐศาสตร์จะเกิดขึ้นทันที่ที่มีการตกลงซื่อขายกัน  ต่อรองราคาหรือมีการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ  โดยไม่จำเป็นต้องมีสินค้าและบริการปรากฏอยู่    สถานที่นั้น
        องค์ประกอบของตลาดจะประกอบด้วย ผู้ซื้อ  ผู้ขาย สินค้า และ  ราคา   ซึ่งอาจจะมีพ่อค้าคนกลางร่วมด้วย  ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารได้ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายใกล้ชิดกันมากขึ้น  โดยอาศัยคนกลางน้อยลง  นอกจากนี้ความสะดวกสบายรวดเร็วของสื่อที่ใช้ในการชำระค่าสินค้าก็ทำได้คล่องตัวขึ้น เช่น ระบบเครดิต เป็นต้น
        ระบบตลาดขึ้นอยู่กับกลไกราคา  ซึ่งราคาตลาดถูกกำหนดโดยปฏิสัมพันธ์ (Interaction)  ระหว่างผู้ซื้อจำนวนมาก  ผู้ขายจำนวนมาก  ณ  ช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ช่วงต้นฤดูทุเรียนหมอนทอง  ราคากิโลกรัมละ 40  บาท  ผู้ซื้อต้องการซื้อ 200 ล้านกิโลกรัม / สัปดาห์  ในขณะที่ผู้ขายต้องการขาย  200  ล้านกิโลกรัม / สัปดาห์ เช่นกัน  ไม่มีของเหลือของขาด  ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างพอใจในภาวการณ์ที่เป็นอยู่  ราคาตลาดดังกล่าวเป็นราคาดุลยภาพ  และราคาตลาดนี้จะเปลี่ยนแปลงไปถ้าอุปสงค์หรืออุปทานเปลี่ยน หรือเปลี่ยนทั้งอุปสงค์และอุปทาน



อ้างอิง  https://sites.google.com/site/sujinthorn4444/klki-rakha

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น