15 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมลงทุนทำธุรกิจ ผมต้องเดินทางไปดูงานที่เมืองๆ
หนึ่งหลังจากพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จแล้ว
ผมได้เข้าไปซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า ซึ่งปกติเวลาที่ผมเดินห้างฯ
ผมชอบพกเหรียญติดตัวไปด้วย เพราะแถวนั้นมักมีขอทานอยู่
ผมมักจะให้เงินเขาเหล่านั้นทีละเหรียญสองเหรียญ
แค่นี้ผมก็รู้สึกเป็นสุขใจแล้ว
วันนี้ก็เหมือนกัน ในกระเป๋าของผมก็มีเศษเหรียญอยู่มากพอที่จะให้ขอทานได้หลายๆคน
หลังจากที่ผมได้เดินเลือกซื้อของอยู่หลายร้าน
ผมก็เจอของขวัญที่ถูกใจมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นผมจึงออกจาห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
แล้วจู่ๆ สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กชายคนหนึ่ง
ในมือของแกถืออะไรสักอย่างและกำลังมองมาทางผมสายตาของเด็กคนนั้นทำให้ผมต้องเดินเข้าไปหา
เด็กน้อยคนนี้อายุน่าจะประมาณ
13-14ปี แต่งตัวดูสะอาดเรียบร้อย ผมเผ้าก็หวีเข้ารูปเข้าทรง
แต่ที่แตกต่างจากเด็กอื่นๆ ก็คือ
ในมือเด็กคนนั้นถือป้ายภาพอันหนึ่งแทนที่จะเป็นไอศกรีมซักแท่ง
แต่กลับเป็นภาพเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังขัดรองเท้าอยู่ และมีข้อความเขียนว่า
“ผมอยากได้อุปกรณ์ขัดรองเท้า”
ในเมื่อยังพอมีเวลาอยู่ ผมจึงได้เดินเข้าไปคุยกับเด็กชายคนนี้ แล้วถามเด็กคนนี้ไปว่า
“อุปกรณ์ขัดรองเท้าราคาเท่าไหร่เจ้าหนู?”
“130 เหรียญครับ” เด็กชายมองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ฉันว่ามันแพงเกินไปนะ” พูดเสร็จผมก็ส่ายหน้า
“ไม่เลยครับ ผมสอบถามร้านค้าส่งในตลาดมา 4 รอบแล้ว ไม่มีร้านไหนขายได้ถูกกว่านี้แล้วครับ ”เด็กชายเล่าอย่างตั้งใจ
ผมเห็นความตั้งใจของเด็กคนนี้ และพิจารณาแล้วว่า เด็กคนนี้ไม่น่าจะหลอกผมเป็นแน่ ผมจึงถามแกไปว่า
“แล้วตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือเท่าไหร่?”
เด็กน้อยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“30 เหรียญครับ ผมขาดเงินอยู่อีก 100 เหรียญ!”
ผมเปิดกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมา 100 เหรียญ แล้วก็บอกเด็กไปว่า
“เงิน
100 เหรียญนี้ฉันให้เธอ คิดซะว่าฉันร่วมลงทุนกับเธอก็แล้วกัน
แต่ฉันมีข้อแม้อยู่ว่า เมื่อเธอเริ่มมีรายได้
เธอจะต้องหักเงินออกมาคืนให้ฉัน ซึ่งฉันจะอยู่ที่เมืองนี้อีก 5 วัน ภายใน 5
วันนี้เธอต้องคืนเงินให้ฉันจนครบ และฉันขอดอกเบี้ยจากเธอ 1 เหรียญ
หากเธอตกลง เงิน 100 เหรียญนี้ก็จะเป็นของเธอ!”
เด็กชายร้อง “เย้!” จากนั้นก็โค้งคำนับและกล่าวตกลงพร้อมกับขอบคุณผมเป็นการใหญ่
เด็กน้อยเล่าให้ผมฟังว่า เขาเรียนอยู่ชั้นประถม 6
แต่ไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 วัน
ส่วนวันที่เหลือจะต้องช่วยแม่เลี้ยงวัว และทำงานในนา
แต่การเรียนไม่เคยตกจากอันดับที่ 3 เลย
แถมยังอวดว่าตนเองอีกว่าเป็นคนเก่งที่สุดอีกด้วย
ผมถามเขาว่าทำไมต้องซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า เด็กชายบอกผมว่า
“บ้านผมยากจน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผมก็เลยขอแม่เข้ามาอยู่ในตลาด เพื่อหาเงินให้แม่และเป็นค่าเล่าเรียนของผม”
ผมมองเขาด้วยสายตาสุดทึ่งในความคิด จากนั้นผมจึงเดินเป็นเพื่อนเด็กคนนี้ไปซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า
เด็กชายแบกกล่องอุปกรณ์ขัดรองเท้าออกมาจากร้านค้าส่งและเดินตรงไปยังหน้าห้างฯที่แกยืนอยู่เมื่อครู่นี้
ผมเรียกเด็กคนนี้พร้อมกับบอกว่า
“ในเมื่อตอนนี้เราสองคนได้ทำธุรกิจร่วมกันแล้ว ฉันอยากจะแนะนำเธอว่า
เธอไม่ควรที่จะยื่นอยู่หน้าห้างนี้นะ
เพราะว่าในห้างนี้มีบริการขัดรองเท้าฟรี
และคนที่มาเดินห้างนี้ก็รู้กันว่ามีบริการนี้อยู่”
“ถ้าแบบนั้นผมไปตั้งร้านแถวหน้าโรงแรมดีไหมครับ” เด็กน้อยถาม
“เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ
เพราะแถวนั้นมีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจมาพักเยอะอยู่เหมือนกัน
เมื่อพวกเขาเห็นเธอให้บริการรับขัดรองเท้า
พวกเขาคงจะสนใจมาใช้บริการกับเธอนะ
เธอนี่รู้จักเลือกที่ทำเลในการทำธุรกิจเหมือนกันนะ”
ผมพูดพร้อมยกนิ้วให้กับเด็กน้อย
เด็กน้อยจึงเดินเข้าไปใกล้บริเวณโรงแรม
แล้ววางเก้าอี้พลาสติกและคว่ำกล่องขัดรองเท้าไว้กับพื้น
เมื่อจัดสถานที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยก็มองไปรอบๆ
จากนั้นก็มองมายังผม
เด็กน้อยพูดขึ้นว่า
“ทำไมคุณไม่ให้ผมจ่ายดอกเบี้ยให้คุณก่อนครับ
เพราะคุณก็รู้ดีนะว่าผมให้บริการดีขนาดไหน” ผมได้ยินจึงหัวเราะออกมา
เด็กน้อย เธอจะขัดรองเท้าให้ฉันเพื่อแลกกับดอกเบี้ย 1 เหรียญนี่นะ”
ผมได้ยินเด็กคนนี้พูดรู้สึกทึ่งกับความคิดของเด็กน้อยเป็นครั้งที่ 2
ดังนั้นผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้
พร้อมกับยกเท้าขึ้นเหยียบกล่องเพื่อให้เด็กน้อยขัดรองเท้า
“ดังนั้นหากฉันให้เธอขัดรองเท้าให้ฉัน แล้วเธอขัดรองเท้าไม่มันวาว
ฉันจะถือว่าเธอนั้นโกหก และฉันก็กำลังลงทุนกับคนที่ไม่มีความซื้อสัตย์
นั่นแปลว่าฉันล้มเหลวกับการทำธุรกิจนี้นะ”
เด็กน้อยก้มหัวขัดรองเท้าให้ผม
พร้อมกับชมตัวเองว่า เขาเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว “คุณรู้หรือเปล่า
ว่าผมนั้นฝึกขัดรองเท้าหนังที่บ้านมา 1 เดือนแล้ว
คุณก็รู้ว่าแถวนี้มีคนใส่รองเท้าหนังไม่กี่คู่หรอก
ผมไปขอขัดรองเท้าเขามาหมดแล้ว” เด็กน้อยพูดไปพร้อมกับขัดรองเท้าไปด้วย
เวลาผ่านไปไม่กี่นาที เด็กน้อยขัดรองเท้าให้ผมเสร็จสิ้น
รองเท้าของผมมันเงาตามคำอวดจริงๆ ผมรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ผมจึงหยิบกุญแจรูปหมีออกมาแล้วเขียนคำว่า “เก่งมาก” แล้วส่งให้เด็กน้อย
เด็กน้อยรับเอาไว้ด้วยความดีใจ
สักครู่ ก็มีรถนักท่องเที่ยวมาจอดหน้าโรงแรม เด็กน้อยถือกล่องอุปกรณ์และเก้าอี้วิ่งเข้าไปยังนักท่องเที่ยว
“ให้บริการขัดรองเท้าครับ ผมสามารถขัดรองเท้าของคุณให้มันวาวเหมือนกระจกได้นะครับ” มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเดินเข้า
พอเช้ารุ่งขึ้นผมได้แวะเข้าไปหน้าเด็กน้อยคนนี้ที่หน้าโรงแรม
เมื่อเด็กน้อยเห็นผม แกได้เล่าให้ผมฟังด้วยอาการที่ใจดีว่า
“เมื่อวานผมขัดร้องเท้าได้ตั้ง 60 เหรียญ เด็กน้อยหักเงินคืนผม 20 เหรียญ
ค่าอาหาร 4 เหรียญ จึงมีเงินเหลืออยู่ 36 เหรียญ
ผมจึงตบบ่าเด็กคนนี้พร้อมกับชมแกไปว่า “เก่งมาก”
เด็กน้อยบอกผมว่า
“เมื่อวานแกได้นอนห้องที่โรงแรมเป็นห้องนอนรวม ไม่ได้นอนใต้สะพาน
แถมยังไม่ได้จ่ายค่าห้อง 5 เหรียญอีกด้วย” ผมสงสัยจึงถามเด็กคนนี้ว่า
ทำไม่ถึงไม่ได้จ่ายค่าห้องพัก”
แกจึงตอบผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและพอใจว่า
“ผมช่วยขัดรองเท้าให้กับเจ้าของโรงแรม 10 กว่าคู่
ซึ่งเย็นนี้ผมก็ไม่ต้องจ่ายค่าห้องเช่นกัน”
ระยะเวลา 5 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ เด็กคนนี้คืนเงินผมวันละ 20 เหรียญจนครบ 100 เหรียญในวันสุดท้าย
เด็กน้อยรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการบริษัทที่
ปักกิ่ง และได้บอกผมว่า หากเขาเรียนจบปริญญาตรีเขาจะไปตามหาผมที่ปักกิ่ง
พร้อมกับยื่นมือดำๆ ของเขามาให้ผมจับ ผมจับมือเด็กน้อยเอาไว้แน่น
ผมได้ทำงานอยู่บริษัทในปักกิ่งหลายปี จนได้ออกมาเปิดบริษัทเทรดดิ้งเอง
วันนี้ผมวุ่นวายแต่เช้าเนื่องจากบริษัท ประสบปัญหาขาดทุนเยอะพอสมควร
ผมไปขอกู้เงินจากเพื่อนๆ และธนาคารหลายแห่ง
แต่ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยผมได้
หลังจากที่ผมวางสารโทรศัพท์ลง
เลขาเข้ามารายงานกับผมว่า
กลางวันนี้มีนักธุรกิจหนุ่มท่านหนึ่งจะเข้ามาพบและนัดรับประทานอาหารกลางวัน
ผมมัวแต่ยุ่งๆ กับบัญชีรายจ่ายเพื่อหาทางหาทางแก้ไขมัน
โดยไม่ได้มองหรือถามเลขาว่านักธุรกิจหนุ่มท่านนั้นเป็นใคร
จนเลขาได้ยื่นเอาพวงกุญแจอันหนึ่งมาวางที่โต๊ะให้ผม
ผมมองกุญแจอันนั้นด้วยความตกตะลึง ซึ่งที่กุญแจมีอักษรคำว่า “ผมเก่งมาก”
อยู่ตรงรูปหมี
ผมนึกขึ้นได้ว่าได้เอากุญแจอันนี้ให้กับเด็กขัดรองเท้าเอาไว้
เมื่อ 15 ปีก่อน และได้เขียนอักษรบนหมีว่า “เก่งมาก”
ซึ่งเวลาผ่านไปเด็กคนนี้คงจะเขียนอักษรเพิ่มเป็น “ผมเก่งมาก” อยู่บนรูปหมี
เมื่อถึงเวลาที่เด็กคนนั้นนัดผมเอาไว้เที่ยง ณ ห้องอาหารในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ผมเดินเข้าไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ ผมเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใส่สูทยืนขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับและยิ้มให้กับผม
ในรอยยิ้มและสายตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้ผมนึกถึงภาพเด็กน้อยเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา
ผมและเด็กหนุ่มรับประทานอาหารร่วมกันพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและถูกคอ
เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย
ชายหนุ่มได้ยื่นเช็คให้ผมระบุจำนวนเงิน 5 ล้านเหรียญพร้อมกับพูดกับผมว่า
“ผมอยากจะร่วมลงทุนกับคุณ ในเวลา 5 ปี คุณต้องคืนทุนให้กับผม”
“โห 5 ล้านเหรียญ” ผมพูดออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งจำนวนเงินนี้สามารถแก้ปัญหาธุรกิจของผมได้
เด็กหนุ่มเล่าต่อไปว่า
“เมื่อ
15 ปีก่อน คุณเคยสอนให้ผมมีชีวิตอยู่รอด
นับจากวันนั้นผมจึงได้มุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะ
ผมได้แต่เก็บเงินออมจนตอนนี้ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง สำหรับเงิน 5
ล้านเหรียญที่ผมให้คุณ ผมจะขอดอกเบี้ยประมาณหนึ่ง”
ผมจึงถามเด็กหนุ่มว่า จำนวนเงินที่ว่านั้นเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่”
ชายหนุ่มตอบผมว่า “1 เหรียญครับ”
ผมได้ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งและดีใจเป็นอย่างมาก
100 เหรียญที่ผมได้ให้เด็กคนนั้นไปลงทุนไป 15 ปีก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น
กลับจะส่งผลให้ผมได้รับเงินตั้ง 5 ล้านเหรียญในวันนี้
นี่คงเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนอย่างมหาศาลที่ชีวิตผมจะได้รับเป็นแน่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น