วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ส่งงานการถ่ายรูปสินค้า


ภาพ: หูฟัง KZ ZST
โดย : นาย นุรุลกิจ. หลีหมัน
ชั้นม.6/1เลขที่15 โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์



วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

สายลมแห่งการให้อภัยและก้อนหินแห่งความทรงจำ

มีคน 2 คนเป็นเพื่อนรักกันมาก ร่วมเดินทางไปในทะเลทราย… ระหว่างทาง เกิดมีปากเสียงกันรุนแรงทะเลาะกัน เพื่อนคนหนึ่งระงับอารมณ์ไม่อยู่…ตบหน้าอีกฝ่าย เพื่อนที่ถูกทำร้าย….เจ็บปวด…แต่ไม่เอ่ยวาจา… กลับเขียนข้อความลงบนผืนทรายว่า “วันนี้…ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า”
พวกเขายังคงเดินทางต่อไป…จนกระทั่งถึงแหล่งน้ำ พวกเขาก็อาบน้ำ….เพื่อนคนที่เคยถูกตบหน้า ได้พลัดตกแหล่งน้ำ จมน้ำ เพื่อนอีกคนไม่รอช้า รีบลงไปช่วยทันที คนรอดตาย…ยังคงไม่เอ่ยวาจา…กลับสลักข้อความลงไปบนก้อนหินใหญ่…“วันนี้…เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้”
อีกคนไม่เข้าใจ…เลยถามว่า “เมื่อเธอถูกฉันตบหน้า เธอเขียนเรื่องราวลงพื้นทราย แล้วเรื่องที่ฉันได้ช่วยเธอจากการจมน้ำ ทำไมจึงต้องสลักบนก้อนหิน”
อีกคนยิ้มพราย…กล่าวตอบ
เมื่อถูกคนที่รักทำร้าย…เราควรเขียนมันไว้บนพื้นทราย ซึ่ง “สายลมแห่งการให้อภัย” จะทำหน้าที่พัดผ่าน ลบล้างไม่เหลือ”
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมายเกิดขึ้น เราควรสลักไว้บน “ก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ” ซึ่งต่อให้มีสายลมพัดแรงเพียงใด ก็ไม่อาจ ลบล้าง ทำลาย

เด็กขัดรองเท้า

15 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมลงทุนทำธุรกิจ ผมต้องเดินทางไปดูงานที่เมืองๆ หนึ่งหลังจากพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จแล้ว ผมได้เข้าไปซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า ซึ่งปกติเวลาที่ผมเดินห้างฯ ผมชอบพกเหรียญติดตัวไปด้วย เพราะแถวนั้นมักมีขอทานอยู่ ผมมักจะให้เงินเขาเหล่านั้นทีละเหรียญสองเหรียญ แค่นี้ผมก็รู้สึกเป็นสุขใจแล้ว
วันนี้ก็เหมือนกัน ในกระเป๋าของผมก็มีเศษเหรียญอยู่มากพอที่จะให้ขอทานได้หลายๆคน
หลังจากที่ผมได้เดินเลือกซื้อของอยู่หลายร้าน ผมก็เจอของขวัญที่ถูกใจมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นผมจึงออกจาห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ แล้วจู่ๆ สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กชายคนหนึ่ง ในมือของแกถืออะไรสักอย่างและกำลังมองมาทางผมสายตาของเด็กคนนั้นทำให้ผมต้องเดินเข้าไปหา
เด็กน้อยคนนี้อายุน่าจะประมาณ 13-14ปี แต่งตัวดูสะอาดเรียบร้อย ผมเผ้าก็หวีเข้ารูปเข้าทรง แต่ที่แตกต่างจากเด็กอื่นๆ ก็คือ ในมือเด็กคนนั้นถือป้ายภาพอันหนึ่งแทนที่จะเป็นไอศกรีมซักแท่ง แต่กลับเป็นภาพเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังขัดรองเท้าอยู่ และมีข้อความเขียนว่า
“ผมอยากได้อุปกรณ์ขัดรองเท้า”
ในเมื่อยังพอมีเวลาอยู่ ผมจึงได้เดินเข้าไปคุยกับเด็กชายคนนี้ แล้วถามเด็กคนนี้ไปว่า
“อุปกรณ์ขัดรองเท้าราคาเท่าไหร่เจ้าหนู?”
“130 เหรียญครับ” เด็กชายมองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ฉันว่ามันแพงเกินไปนะ” พูดเสร็จผมก็ส่ายหน้า
“ไม่เลยครับ ผมสอบถามร้านค้าส่งในตลาดมา 4 รอบแล้ว ไม่มีร้านไหนขายได้ถูกกว่านี้แล้วครับ ”เด็กชายเล่าอย่างตั้งใจ
ผมเห็นความตั้งใจของเด็กคนนี้ และพิจารณาแล้วว่า เด็กคนนี้ไม่น่าจะหลอกผมเป็นแน่ ผมจึงถามแกไปว่า
“แล้วตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือเท่าไหร่?”
เด็กน้อยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“30 เหรียญครับ ผมขาดเงินอยู่อีก 100 เหรียญ!”
ผมเปิดกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมา 100 เหรียญ แล้วก็บอกเด็กไปว่า
“เงิน 100 เหรียญนี้ฉันให้เธอ คิดซะว่าฉันร่วมลงทุนกับเธอก็แล้วกัน แต่ฉันมีข้อแม้อยู่ว่า เมื่อเธอเริ่มมีรายได้ เธอจะต้องหักเงินออกมาคืนให้ฉัน ซึ่งฉันจะอยู่ที่เมืองนี้อีก 5 วัน ภายใน 5 วันนี้เธอต้องคืนเงินให้ฉันจนครบ และฉันขอดอกเบี้ยจากเธอ 1 เหรียญ หากเธอตกลง เงิน 100 เหรียญนี้ก็จะเป็นของเธอ!”
เด็กชายร้อง “เย้!” จากนั้นก็โค้งคำนับและกล่าวตกลงพร้อมกับขอบคุณผมเป็นการใหญ่
เด็กน้อยเล่าให้ผมฟังว่า เขาเรียนอยู่ชั้นประถม 6 แต่ไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 วัน ส่วนวันที่เหลือจะต้องช่วยแม่เลี้ยงวัว และทำงานในนา แต่การเรียนไม่เคยตกจากอันดับที่ 3 เลย แถมยังอวดว่าตนเองอีกว่าเป็นคนเก่งที่สุดอีกด้วย

ผมถามเขาว่าทำไมต้องซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า เด็กชายบอกผมว่า
“บ้านผมยากจน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผมก็เลยขอแม่เข้ามาอยู่ในตลาด เพื่อหาเงินให้แม่และเป็นค่าเล่าเรียนของผม”
ผมมองเขาด้วยสายตาสุดทึ่งในความคิด จากนั้นผมจึงเดินเป็นเพื่อนเด็กคนนี้ไปซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า
เด็กชายแบกกล่องอุปกรณ์ขัดรองเท้าออกมาจากร้านค้าส่งและเดินตรงไปยังหน้าห้างฯที่แกยืนอยู่เมื่อครู่นี้
ผมเรียกเด็กคนนี้พร้อมกับบอกว่า “ในเมื่อตอนนี้เราสองคนได้ทำธุรกิจร่วมกันแล้ว ฉันอยากจะแนะนำเธอว่า เธอไม่ควรที่จะยื่นอยู่หน้าห้างนี้นะ เพราะว่าในห้างนี้มีบริการขัดรองเท้าฟรี และคนที่มาเดินห้างนี้ก็รู้กันว่ามีบริการนี้อยู่”
“ถ้าแบบนั้นผมไปตั้งร้านแถวหน้าโรงแรมดีไหมครับ” เด็กน้อยถาม
“เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ เพราะแถวนั้นมีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจมาพักเยอะอยู่เหมือนกัน เมื่อพวกเขาเห็นเธอให้บริการรับขัดรองเท้า พวกเขาคงจะสนใจมาใช้บริการกับเธอนะ เธอนี่รู้จักเลือกที่ทำเลในการทำธุรกิจเหมือนกันนะ” ผมพูดพร้อมยกนิ้วให้กับเด็กน้อย
เด็กน้อยจึงเดินเข้าไปใกล้บริเวณโรงแรม แล้ววางเก้าอี้พลาสติกและคว่ำกล่องขัดรองเท้าไว้กับพื้น เมื่อจัดสถานที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยก็มองไปรอบๆ จากนั้นก็มองมายังผม
เด็กน้อยพูดขึ้นว่า “ทำไมคุณไม่ให้ผมจ่ายดอกเบี้ยให้คุณก่อนครับ เพราะคุณก็รู้ดีนะว่าผมให้บริการดีขนาดไหน” ผมได้ยินจึงหัวเราะออกมา เด็กน้อย เธอจะขัดรองเท้าให้ฉันเพื่อแลกกับดอกเบี้ย 1 เหรียญนี่นะ” ผมได้ยินเด็กคนนี้พูดรู้สึกทึ่งกับความคิดของเด็กน้อยเป็นครั้งที่ 2 ดังนั้นผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้ พร้อมกับยกเท้าขึ้นเหยียบกล่องเพื่อให้เด็กน้อยขัดรองเท้า
“ดังนั้นหากฉันให้เธอขัดรองเท้าให้ฉัน แล้วเธอขัดรองเท้าไม่มันวาว ฉันจะถือว่าเธอนั้นโกหก และฉันก็กำลังลงทุนกับคนที่ไม่มีความซื้อสัตย์ นั่นแปลว่าฉันล้มเหลวกับการทำธุรกิจนี้นะ”
เด็กน้อยก้มหัวขัดรองเท้าให้ผม พร้อมกับชมตัวเองว่า เขาเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว “คุณรู้หรือเปล่า ว่าผมนั้นฝึกขัดรองเท้าหนังที่บ้านมา 1 เดือนแล้ว คุณก็รู้ว่าแถวนี้มีคนใส่รองเท้าหนังไม่กี่คู่หรอก ผมไปขอขัดรองเท้าเขามาหมดแล้ว” เด็กน้อยพูดไปพร้อมกับขัดรองเท้าไปด้วย
เวลาผ่านไปไม่กี่นาที เด็กน้อยขัดรองเท้าให้ผมเสร็จสิ้น รองเท้าของผมมันเงาตามคำอวดจริงๆ ผมรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงหยิบกุญแจรูปหมีออกมาแล้วเขียนคำว่า “เก่งมาก” แล้วส่งให้เด็กน้อย เด็กน้อยรับเอาไว้ด้วยความดีใจ
สักครู่ ก็มีรถนักท่องเที่ยวมาจอดหน้าโรงแรม เด็กน้อยถือกล่องอุปกรณ์และเก้าอี้วิ่งเข้าไปยังนักท่องเที่ยว
“ให้บริการขัดรองเท้าครับ ผมสามารถขัดรองเท้าของคุณให้มันวาวเหมือนกระจกได้นะครับ” มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเดินเข้า
พอเช้ารุ่งขึ้นผมได้แวะเข้าไปหน้าเด็กน้อยคนนี้ที่หน้าโรงแรม เมื่อเด็กน้อยเห็นผม แกได้เล่าให้ผมฟังด้วยอาการที่ใจดีว่า “เมื่อวานผมขัดร้องเท้าได้ตั้ง 60 เหรียญ เด็กน้อยหักเงินคืนผม 20 เหรียญ ค่าอาหาร 4 เหรียญ จึงมีเงินเหลืออยู่ 36 เหรียญ
ผมจึงตบบ่าเด็กคนนี้พร้อมกับชมแกไปว่า “เก่งมาก”
เด็กน้อยบอกผมว่า “เมื่อวานแกได้นอนห้องที่โรงแรมเป็นห้องนอนรวม ไม่ได้นอนใต้สะพาน แถมยังไม่ได้จ่ายค่าห้อง 5 เหรียญอีกด้วย” ผมสงสัยจึงถามเด็กคนนี้ว่า ทำไม่ถึงไม่ได้จ่ายค่าห้องพัก”
แกจึงตอบผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและพอใจว่า “ผมช่วยขัดรองเท้าให้กับเจ้าของโรงแรม 10 กว่าคู่ ซึ่งเย็นนี้ผมก็ไม่ต้องจ่ายค่าห้องเช่นกัน”
ระยะเวลา 5 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ เด็กคนนี้คืนเงินผมวันละ 20 เหรียญจนครบ 100 เหรียญในวันสุดท้าย
เด็กน้อยรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการบริษัทที่ ปักกิ่ง และได้บอกผมว่า หากเขาเรียนจบปริญญาตรีเขาจะไปตามหาผมที่ปักกิ่ง พร้อมกับยื่นมือดำๆ ของเขามาให้ผมจับ ผมจับมือเด็กน้อยเอาไว้แน่น
ผมได้ทำงานอยู่บริษัทในปักกิ่งหลายปี จนได้ออกมาเปิดบริษัทเทรดดิ้งเอง วันนี้ผมวุ่นวายแต่เช้าเนื่องจากบริษัท ประสบปัญหาขาดทุนเยอะพอสมควร ผมไปขอกู้เงินจากเพื่อนๆ และธนาคารหลายแห่ง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยผมได้
หลังจากที่ผมวางสารโทรศัพท์ลง เลขาเข้ามารายงานกับผมว่า กลางวันนี้มีนักธุรกิจหนุ่มท่านหนึ่งจะเข้ามาพบและนัดรับประทานอาหารกลางวัน ผมมัวแต่ยุ่งๆ กับบัญชีรายจ่ายเพื่อหาทางหาทางแก้ไขมัน โดยไม่ได้มองหรือถามเลขาว่านักธุรกิจหนุ่มท่านนั้นเป็นใคร จนเลขาได้ยื่นเอาพวงกุญแจอันหนึ่งมาวางที่โต๊ะให้ผม ผมมองกุญแจอันนั้นด้วยความตกตะลึง ซึ่งที่กุญแจมีอักษรคำว่า “ผมเก่งมาก” อยู่ตรงรูปหมี
ผมนึกขึ้นได้ว่าได้เอากุญแจอันนี้ให้กับเด็กขัดรองเท้าเอาไว้ เมื่อ 15 ปีก่อน และได้เขียนอักษรบนหมีว่า “เก่งมาก” ซึ่งเวลาผ่านไปเด็กคนนี้คงจะเขียนอักษรเพิ่มเป็น “ผมเก่งมาก” อยู่บนรูปหมี
เมื่อถึงเวลาที่เด็กคนนั้นนัดผมเอาไว้เที่ยง ณ ห้องอาหารในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ผมเดินเข้าไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ ผมเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใส่สูทยืนขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับและยิ้มให้กับผม
ในรอยยิ้มและสายตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้ผมนึกถึงภาพเด็กน้อยเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา
ผมและเด็กหนุ่มรับประทานอาหารร่วมกันพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและถูกคอ เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มได้ยื่นเช็คให้ผมระบุจำนวนเงิน 5 ล้านเหรียญพร้อมกับพูดกับผมว่า
“ผมอยากจะร่วมลงทุนกับคุณ ในเวลา 5 ปี คุณต้องคืนทุนให้กับผม”
“โห 5 ล้านเหรียญ” ผมพูดออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งจำนวนเงินนี้สามารถแก้ปัญหาธุรกิจของผมได้
เด็กหนุ่มเล่าต่อไปว่า
“เมื่อ 15 ปีก่อน คุณเคยสอนให้ผมมีชีวิตอยู่รอด นับจากวันนั้นผมจึงได้มุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะ ผมได้แต่เก็บเงินออมจนตอนนี้ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง สำหรับเงิน 5 ล้านเหรียญที่ผมให้คุณ ผมจะขอดอกเบี้ยประมาณหนึ่ง”
ผมจึงถามเด็กหนุ่มว่า จำนวนเงินที่ว่านั้นเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่”
ชายหนุ่มตอบผมว่า “1 เหรียญครับ”
ผมได้ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งและดีใจเป็นอย่างมาก 100 เหรียญที่ผมได้ให้เด็กคนนั้นไปลงทุนไป 15 ปีก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น กลับจะส่งผลให้ผมได้รับเงินตั้ง 5 ล้านเหรียญในวันนี้ นี่คงเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนอย่างมหาศาลที่ชีวิตผมจะได้รับเป็นแน่

คิดแบบ “ผึ้ง” หรือว่า “แมลงวัน”

สมมุติว่าเราจับผึ้งจำนวน 6 ตัว ใส่ในขวด และจับแมลงวัน 6 ตัว ใส่ในอีกขวด จากนั้นวางขวดนอนลง โดยหันก้นขวดไปยังหน้าต่างที่มีแสงสว่างกว่า
เราจะพบว่า…กลุ่มผึ้งจะพยายามบินออกทางก้นขวด จนกระทั่งมันตายจากการขาดอาหารหรือว่าหมดแรง
ในขณะที่แมลงวัน จะบินวนอยู่ในขวดชนไปชนมา แต่ก็จะค่อยๆทยอยบินหาทางออกมาจากขวดได้ จากฝั่งคอขวด ที่อยู่ตรงกันข้ามกับก้นขวดซึ่งหันไปทางหน้าต่าง
ทำไมผลการทดลองจึงออกมาแบบนี้….
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ผึ้งเป็นสัตว์ที่ฉลาด มีองค์ความรู้ พวกมันรู้ว่าหากบินไปในทิศทางที่มีแสงสว่าง
จะเป็นทางออกจากรัง แต่เมื่อมันต้องมาอยู่ในขวด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผึ้งไม่เคยประสบมาก่อน
มันก็ยังคงเชื่อในความคิดแบบเดิมๆไม่เปลี่ยนแปลง คือ ต้องบินออกทางแสงสว่างเท่านั้น
แต่สำหรับแมลงวัน เป็นสัตว์ที่ไม่มีความคิดเป็นตรรกะอะไร ดังนั้นเมื่อมันถูกจับไว้ในขวด มันจึงบินชนผนังขวดแกะทางไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พบกับทางออก
การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า คนฉลาดก็สามารถที่จะพลาดพลั้งล้มเหลวได้ หากมีความรู้แต่ยึดติดกรอบเดิมๆ ในขณะที่ผู้ไม่รู้ หากทำในสิ่งที่แตกต่าง ก็อาจประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

ยกตัวเองขึ้น โดยไม่ลดคนอื่นลง

อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์ไปเดินเล่นที่ชายหาด
อาจารย์ได้เริ่มสอนลูกศิษย์ ด้วยการใช้ไม้ขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 4 ฟุต และ 2 ฟุต ตามลำดับ
อาจารย์กล่าวว่า “เธอสามารถทำให้เส้น 2 ฟุต ยาวกว่าเส้น 4 ฟุต ได้หรือเปล่า ไหนลองทำให้อาจารย์ดูซิ”
ลูกศิษย์ได้คิดหาทางซักพักหนึ่ง แล้วก็เอามือลบรอยเส้นที่ยาว 4 ฟุต ให้สั้นลงเหลือเพียง 1 ฟุต ทำให้เส้น 2 ฟุตนั้นดูยาวกว่าทันที แล้วศิษย์ก็ถามอาจารย์ว่า “ทำแบบนี้ใช้ได้ไหมครับ”
“เหยียบหัวคนอื่น เพื่อให้ตัวเองอยู่สูงขึ้น”
อาจารย์เขกกบาลลูกศิษย์เบาๆ แล้วกล่าวว่า ” คนที่จะยกตนเองให้สูงขึ้น โดยการทำร้ายคู่คนอื่นนั้น ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสม ถ้าเลือกใช้วิธีนี้ ชีวิตเธอก็มีแต่คนสาปแช่ง และในระยะยาวชีวิตมักจะล้มเหลว ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง ”
แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้นสองเส้นให้ยาวเช่นเดิม คือ 2 ฟุต และ 4 ฟุต จากนั้นอาจารย์ก็ทำให้ดูด้วยการขีดเส้น 2 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 5 ฟุต แล้วพูดว่า “จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเจ้าคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเจ้า” ที่เธอจะต้องพัฒนาตัวเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า มันจะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามและยั่งยืน
ผู้ที่เลื่อนตัวเองขึ้น โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจพูดได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยปล่อยให้ผู้อื่นได้ก้าวไปทางของเขาอย่างเสรีนั้น ย่อมส่งผลลัพธ์ที่ต่างกัน
หากไร้คู่แข่งแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวเองมีศักยภาพในการทำงานแค่ไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม
นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เก่ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ จะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนและไม่ภาคภูมิใจ ดังนั้น…เมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งกระตุ้นให้เรารู้จักพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น
การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เจ้าอาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูตามมาด้วย
แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธอจะเป็นผู้ชนะ พร้อมกับยังมีเพื่อนเพิ่มขึ้น และหนึ่งในนั้นอาจเคยเป็นคู่แข่งของเธอเองด้วย

บทความดีๆ ท่านมองตัวเองอย่างไร?

สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการแต่กำเนิด (cerebral palsy) ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปรกติและพูดไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธา เธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐฯ แล้วแสดงทัศนคติของเธอตามที่ต่างๆ เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้อื่น
ครั้งหนึ่ง เธอไดเรับเชิญไปบรรยายด้วยการเขียน (เธอพูดไม่ได้ต้องใช้วิธีเขียน) หลังบรรยายเสร็จ มีนักเรียนคนหนึ่งตั้งคำถามว่า
“คุณอยู่ในสภาพนี้ตั้งแต่เกิด คุณเคยรู้สึกน้อยใจไหม? แล้วท่านมองตัวเองอย่างไร?”
คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ผู้ที่ร่วมฟังบรรยายอย่างมาก ต่างห่วงว่า คำถามนี้จะกระทบความรู้สึกของเธอ ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสือว่า
“ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”
เธอหันหน้ายิ้มให้ผู้ร่วมประชุม แล้วเขียนข้อความต่อ
1.ฉันเป็นคนนิสัยน่ารักมาก
2.ฉันมีขาที่เรียวงาม สวยดี
3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
4.พระเจ้า ได้มอบความรักแก่ฉัน
5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6.ฉันมีแมวที่น่ารัก
และ….
ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใดๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดานว่า
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด”
หลังจากนั้น เสียงปรบมือดังสนั่นในห้องบรรยาย พร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทือนใจจากหลายๆคน ณ วันนั้น ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิสูจน์ของเธอ ได้เพิ่มกำลังใจแก่ผู้คนอย่างมากมาย เธอผู้เป็นโรคสมองพิการนี้คือ น.ส.หวางเหม่ยเหลียน (Huang Meilian) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA ผู้เคยจัดนิทรรศการภาพเขียนส่วนตัวหลายครั้งในไต้หวัน
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด” ฉันชอบทัศนคติต่อชีวิตแบบนี้ ซึ่งถูกหลักสุขภาพจิตและสบายใจด้วย ความสุขไม่ได้อยู่ที่คุณครอบครองสิ่งใดมากแค่ไหน แต่อยู่ที่คุณมีทัศนคติอย่างไรในการมองสิ่งต่างๆ จงหันมามองสิ่งที่ดีในตัวเอง ลืมในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ลืมอดีตที่ผ่านไป มองไปข้างหน้าแล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ชีวิตครั้งเเรก
-เล่นFinal fantasy XV ครั้งเเรก
บันทึกความดี
-ช่วยงานบ้าน
-ช่วยเหลือเพื่อน